ชี้ชะตาซาร์รี่!

            อย่างที่ทราบกันดีว่ายูเวนตุสนั้นเป็นมหาอำนาจลูกหนังของวงการฟุตบอลอิตาลีมาอย่างยาวนาน หลังจากที่พวกเขาต้องตกชั้นลงไปเล่นในระดับกัลโช่ เซเรีย บี เนื่องจากไปโดนคดีล็อคผลการแข่งขันอันกระฉ่อนโลกอย่างคดีกัลโช่ โปลีนั่นเอง ซึ่งทำให้พวกเขาต้องเสียเวลาอยู่ในลีกรองถึง 2 ฤดูกาล เนื่องจากฤดูกาลแรกนั้นพวกเขาต้องถูกตัดแต้มไปถึง 30 คะแนนเลยทีเดียว แต่หลังจากเลื่อนชั้นขึ้นสู่เซเรีย อาได้แล้ว พวกเขาใช้เวลาไม่นานก็สามารถคว้าแชมป์สคูเด็ตโต้มาครองได้สำเร็จในยุคของอันโต นิโอ คอนเต้ และหลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ยังไม่มีทีมไหนในอิตาลีที่สามารถพรากแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศไปจากทีม “ม้าลาย” ได้เลย แม้ว่าจะเปลี่ยนกุนซือจากอันโตนิโอ คอนเต้มาเป็นมัสซิมิเลียโน่ อัลเลกรีแล้วก็ตาม

            แต่ในฤดูกาลนี้ยูเวนตุสมีการเปลี่ยนแปลงกุนซือครั้งใหญ่อีกครั้ง หลังจากที่ใช้มัสซิมิเลียโน่ อัลเลกรีมาแล้ว 5 ปี แต่ไม่สามารถพาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกตามที่บอร์ดบริหารต้องการได้ ถึงแม้ว่าจะเข้าชิงชนะเลิศ 2 ครั้งก็ตาม แต่ก็ดันไปแพ้ให้กับยอดทีมจากสเปนทั้งเรอัล มาดริด และบาร์เซโลน่าทั้ง 2 ครั้ง ทำให้ฤดูกาลนี้พวกเขาตัดสินใจเปลี่ยนกุนซือมาเป็นเมาริซิโอ ซาร์รี่ กุนซือที่พาทีมเชลซีคว้าแชมป์ยูโรป้า ลีกมาครองได้เมื่อฤดูกาลที่แล้ว ซึ่งซาร์รี่พึ่งจะย้ายไปคุมทีมดังของกรุงลอนดอนของอังกฤษเพียงแค่ฤดูกาลเดียวเท่านั้น แต่เนื่องด้วยปัญหาของทีม “สิงโตน้ำเงินคราม” ที่ไปถูกสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือว่าทางฟีฟ่าสั่งแบนห้ามลงทะเบียนนักเตะใหม่ หรือห้ามซื้อนักเตะใหม่นั่นเองเป็นเวลา 2 ตลาดซื้อขาย หรือเท่ากับ 1 ปีนั่นเอง ทำให้ในช่วงปิดฤดูกาลที่ยูเวนตุสมองหากุนซือใหม่พอดี และบวกกับสถานการณ์แบบนี้ ทำให้ซาร์รี่ตัดสินใจชิ่งหนีเชลซีอย่างรวดเร็วทันที และย้ายมาคุมทีมดังของเมืองตูรินแทนในช่วงกลางปีที่แล้ว ซึ่งอันที่จริงการย้ายมาคุมทีมยูเวนตุสนั้นไม่ได้มีความท้าทายกว่าการคุมทีมเชลซีแต่อย่างใด เพราะยูเวนตุสนั้นเป็นตัวเต็งจ๋าในการคว้าแชมป์กัลโช่ เซเรีย อาในฤดูกาลนี้ตามเดิม ถึงแม้ว่าในช่วงต้นฤดูกาลที่ผ่านมาจะมีอินเตอร์ มิลานที่กำลังสร้างทีมใหม่ด้วยการดึงอันโตนิโอ คอนเต้ อดีตกุนซือยูเวนตุส และเชลซีเข้ามาคุมทีม อีกทั้งยังมีการซื้อนักเตะหลายราย ทำให้พวกเขามีขุมกำลังที่แข็งแกร่งขึ้นมาก แต่ถึงอย่างไรแล้วก็ยังไม่ได้ดีไปกว่าขุมกำลังของยูเวนตุสที่พวกเขาสั่งสมมาหลายฤดูกาลในการทำทีม ทำให้พวกเขาแทบไม่ต้องมีการซื้อนักเตะที่หวือหวาแต่อย่างใด และมีนักเตะตัวหลักจากเมื่อฤดูกาลก่อนที่ถูกขายออกจากทีมไป ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบกับทีมมากนัก ไม่ว่าจะเป็นมาริโอ มานด์ซูคิช หรือมอยส์ คีน 2 กองหน้าของทีมที่ถูกขายออกไปเมื่อปีที่แล้ว

 

 

เมาริซิโอ ซาร์รี่ในฤดูกาลนี้นั้นยังไม่สามารถงัดฟอร์มเก่งของยูเวนตุสได้เลย
เมาริซิโอ ซาร์รี่ในฤดูกาลนี้นั้นยังไม่สามารถงัดฟอร์มเก่งของยูเวนตุสได้เลย

 

 

 

            ในเรื่องของโครงสร้างของทีมแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเหมือนเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนกุนซือใหม่เท่านั้น เพราะแกนหลักของทีมก็ยังอยู่กันครบ ไม่ว่าจะเป็นแนวรับที่มีจอร์โจ้ คิเอลลินี่ และเลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ แดนกลางก็มีมิราเล็ม ปานิช กองกลางทีมชาติบอสเนียเป็นแกนหลัก ส่วนกองหน้าก็มีคริสเตียโน่ โรนัลโด้เป็นดาวยิง และมีเปาโล ดิบาล่า ตัวรุกร่างเล็กชาวอาร์เจนไตน์ก็ยังอยู่กับทีม ถึงแม้ว่าสโมสรจะผลักใสไล่ส่งจะพยายามขายเขาออกจากทีมไปให้กับทีมในอังกฤษก็ตาม แต่สุดท้ายดีลก็ไม่เกิดขึ้น ทำให้เขายังเป็นขุมกำลังของยูเวนตุสมาจนถึงตอนนี้

            แต่ว่าผลงานการคุมทีมของเมาริซิโอ ซาร์รี่ในฤดูกาลนี้นั้นยังไม่สามารถงัดฟอร์มเก่งของยูเวนตุสได้เลยในฤดูกาลนี้ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะยังคงเป็นจ่าฝูงของลีกกัลโช่ เซเรีย อามาจนถึงตอนนี้ก็ตาม แต่ก่อนที่ฤดูกาลจะหยุดเบรกหนีไวรัสโคโรน่าไป ยูเวนตุสมีคะแนนนำลาซิโอ ทีมอันดับ 2 ของตารางคะแนนเพียงแค่แต้มเดียวเท่านั้น ซึ่งแทบไม่ได้เปรียบเสียเปรียบกันเลยในช่วงที่เหลือของฤดูกาล แม้ว่าลาซิโอจะถูกมองว่าเป็นม้ามืดในฤดูกาลนี้ แต่การที่พวกเขายืนหยัดทำผลงานได้สุดยอดมาจนถึงช่วงท้ายฤดูกาลแบบนี้ก็เป็นการการันตีได้อย่างดีว่าพวกเขาคือของจริงอย่างแน่นอน ซึ่งการป้องกันแชมป์สคูเด็ตโต้ในฤดูกาลนี้นั้นจะเป็นจุดชี้วัดของเมาริซิโอ ซาร์รี่ในฤดูกาลนี้ด้วย ว่าเขาจะดีพอได้คุมทีม “ม้าลาย” ต่อในฤดูกาลหน้าหรือไม่ เพราะแชมป์ลีกนั้นเป็นเป้าหมายของยูเวนตุสในทุกฤดูกาลว่าต้องคว้ามาครองให้ได้ ซึ่งเมาริซิโอ ซาร์รี่นั้นยังแทบไม่มีช่วงเวลาที่น่าประทับใจกับการคุมทีมในเมืองตูรินแม้แต่นัดเดียวเลยในฤดูกาลนี้ ซึ่งหาเกมที่เขาพาทีมเก็บชัยชนะได้อย่างสวยงามยากมาก และส่วนใหญ่เป็นการแค่เฉือนชนะเท่านั้น