แชมป์ที่ยากลำบาก!

แชมป์ที่ยากลำบาก!

การที่ ลิเวอร์พูล จะคว้าแชมป์ลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปีนั้น ดูเหมือนว่ามันจะยากเย็นเสียเหลือเกิน ทั้งๆ ที่คะแนนความห่างในพรีเมียร์ลีกกับทีมอันดับ 2 อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในตอนนี้นั้นเหลืออีกไม่กี่แต้มเท่านั้น แต่ด้วยสถานการณ์การระดบาดของไวรัสโคโรน่า หรือว่าโควิด 19 ที่แพร่กระจายไปทั่วโลก ซึ่งกำลังส่งผลกระทบโดยตรงกับประเทศอังกฤษ และมากระทบชิ่งต่อศึก พรีเมียร์ลีก อยู่ในเวลานี้ ที่กำลังเป็นประเด็นถกเถียงกันในหมู่แฟนบอลหลังจากที่บรรดาสโมสรต่างๆ ที่เป็นสมาชิกของเอฟเอที่อังกฤษนั้น ได้มีการประชุมเบื้อต้นกันไปเมื่อสัปดาห์ก่อนว่าจะเอาอย่างไรต่อไปดีกับผลของฤดูกาลนี้ ซึ่งมันมีความเป็นไปได้ว่าแชมป์ที่สาวก “เดอะ ค็อป” รอคอยอยู่นั้นอาจจะกลายเป็นโมฆะ หรือว่าต้องยกเลิกผลงานการแข่งขันในฤดูกาลนี้ไปทั้งหมด หากว่าการแพร่เชื้อของโรคระบาดตัวนี้ยังไม่จบสิ้นเสียที

ทีม “หงส์แดง” นั้นเคยใกล้เคียงกับการเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกมาก่อนหน้านี้ 2 ครั้ง ซึ่งครั้งแรกเกิดขึ้นตอนมีเบรนแดน ร็อดเจอร์ส กุนซือชาวไอร์แลนด์เหนือที่กำลังไปได้ดีกับเลสเตอร์ ซิตี้ตอนนี้คุมทีม ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อฤดูกาล 2013-2014 ซึ่งปีนั้นลิเวอร์พูล นำเป็นจ่าฝูงมาจนถึงช่วง 2 นัดสุดท้ายของฤดูกาลทีเดียว ก่อนที่จะมาพลาดในนัดที่เปิดรังแอนฟิลด์พ่ายให้กับเชลซี 0-1 จากความผิดพลาดของสตีเว่น เจอร์ราร์ด กองกลางกัปตันทีมนั่นเอง ซึ่งเป็นตราบาปของเขามาจนถึงวันนี้ และทำให้แฟนบอลทีมอื่นนั้นเอามาล้อเลียนกันสนุกปากเลยทีเดียวในช่วงที่ผ่านมา อีกครั้งหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อฤดูกาลที่แล้วนั่นเองที่มีเจอร์เก้น คล็อปป์คุมทีม ซึ่งลิเวอร์พูลเริ่มแซงแมนเชสเตอร์ ซิตี้มาเป็นจ่าฝูงในช่วงปลายปี 2018 ซึ่งเป็นช่วงที่ทีม “เรือใบสีฟ้า” สะดุดแพ้อย่างต่อเนื่อง 3 ใน 4 นัด ทำให้ ลิเวอร์พูลโกยคะแนนหนีห่างทีมของเป็ป กวาดิโอล่าได้ถึง 7 คะแนน ก่อนจะมีเกมพบกันที่อิติฮัด สเตเดี้ยมในช่วงต้นเดือนมกราคม และสุดท้ายก็เป็นแมนเชสเตอร์ ซิตี้ที่เอาชนะไปได้ในที่สุด 2-1 ทำให้สถานการณ์พลิกผันมาเหลือตามเพียง 4 คะแนนเท่านั้น และหลังจากนั้นซิตี้ก็เก็บชัยชนะได้รวด จนทำคะแนนแซงหน้า ลิเวอร์พูล ป้องกันแชมป์ได้สำเร็จด้วยการมี 98 คะแนน เฉือน ลิเวอร์พูล ไปเพียงคะแนนเดียวเท่านั้น ทำให้พวกเขาต้องรอคอยแชมป์ลีกสูงสุดมาจนถึงฤดูกาลนี้ ซึ่งยังดีที่เมื่อฤดูกาลที่แล้วพวกเขาได้แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกปลอบใจด้วยการเอาชนะท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ได้ในนัดชิงชนะเลิศ

ลิเวอร์พูล
ลิเวอร์พูล

ในฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลเริ่มต้นฤดูกาลได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเปิดสนามที่แอนฟิลด์เอาชนะนอริช ซิตี้ไปได้ 4-1 ถึงแม้ว่าจะมีข่าวร้ายในเกมนั้นว่าอลิสซง เบ็คเกอร์ นายประตูมือ 1 ของทีมจะได้รับบาดเจ็บจากเกมนั้นไปก็ตาม แต่ช่วงแรกนั้นอาเดรี้ยน นายประตูชาวสเปนที่เจอร์เก้น คล็อปป์ไปเซ็นต์สัญญามาแบบไม่มีค่าตัวเพื่อเข้ามาเป็นมือ 2 แทนที่ซิมง มิโญเล่ต์ นายประตูชาวเบลเยี่ยมที่พวกเขาขายออกไปให้กับคลับ บรูซจ์ไป ซึ่งหลังจากนั้นมาพวกเขาก็เก็บชัยชนะมาได้โดยตลอด ไม่เว้นแม้กระทั่งในศึกยูฟ่า ซุเปอร์ คัพที่พบกับเชลซีก็ตาม ที่ทีมไปคว้าแชมป์ได้สำเร็จด้วยการเอาชนะทีม “สิงโตน้ำเงินคราม” ได้ด้วยการดวลจุดโทษ และเป็นอาเดรี้ยนที่เป็นฮีโร่ในวันนั้น และหลังจากนั้นมาพวกเขาก็เก็บชัยชนะในเกมลีกได้อย่างต่อเนื่อง โดยมามีสะดุดในนัดแดงเดือดที่บุกไปเยือนโอลด์ แทรฟฟอร์ดของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเท่านั้น โดยพวกเขาตามหลังไปก่อนในช่วงครึ่งแรกจากมาร์คัส แรชฟอร์ด แต่ว่าช่วงท้ายเกม ลิเวอร์พูลก็มาตามตีเสมอได้สำเร็จจากอดัม ลัลลาน่า กองกลางที่ถูกส่งลงสนามไปเป็นตัวสำรอง ซึ่งหลังจากนั้นมาทีม “หงส์แดง” สามารถเก็บชัยชนะได้หมด ไม่ว่าฟอร์มการเล่นในเกมนั้นจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่สุดท้ายพวกเขาก็จะได้รับ 3 คะแนนมาโดยตลอด ซึ่งทำให้มองกันว่าพวกเขามีโอกาสที่จะเป็นแชมป์โดยการไร้พ่ายได้เลยด้วยซ้ำ และสถิติจะสวยงามกว่าอาร์เซน่อลในฤดูกาล 2003-2004 ด้วย หากว่าพวกเขาทำได้สำเร็จ แต่ว่าผลสุดท้ายแล้วลิเวอร์พูลดันมาสะดุดแพ้เป็นที่เรียบร้อยแล้วในแมตช์ เดย์ที่ 28 ที่พวกเขาบุกไปเยือนวิคาเลจ โร๊ดของวัตฟอร์ด ซึ่งผลสุดท้ายลิเวอร์พูลแพ้อย่างเหลือเชื่อให้กับทีมท้ายตาราง 0-3 ซึ่งเป็นวันที่พวกเขาหลุดฟอร์มที่สุดในฤดูกาลนี้ จนทำให้แพ้ให้กับทีม “แตนอาละวาด” อย่างราบคาบ ทำให้เสียสถิติไร้พ่ายไปอย่างน่าเสียดาย

แต่ถึงแม้ว่าจะเสียสถิติการไม่แพ้ใครติดต่อกันในฤดูกาลนี้ไว้เพียง 27 นัดเท่านั้น และหากรวมจากเมื่อฤดูกาลก่อนด้วยก็จะเป็น 44 นัด ทำให้ไม่สามารถทำลายสถิติของอาร์เซน่อลได้ทั้ง 2 สถิติ แต่ว่าสถานการณ์ที่พวกเขาจะเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรกในรอบ 30 ปีนั้นก็ยังสดใสอยู่ และเหลือเพียงแค่รอเวลาเท่านั้น แม้ว่าในทางทฤษฏีแล้วพวกเขาจะยังไม่เป็นแชมป์อย่างเป็นทางการก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติแล้วพวกเขาเป็นแชมป์ไปแล้วกว่า 90 เปอร์เซ็นต์เลยก็ว่าได้ แต่ด้วยความที่มันยังไม่ออฟฟิเชี่ยลอย่างเป็นทางการ ทำให้สาวก “เดอะ ค็อป” ต่างวิตกกังวลเป็นอย่างมากในเรื่องนี้ เพราะกระแสที่ออกมาในช่วงหลังมานี้นั้นมีการพูดคุยกันถึงเรื่องการที่จะทำให้ฤดูกาลนี้เป็นโมฆะ ซึ่งจะทำให้ลิเวอร์พูลชวดการเป็นแชมป์อย่างน่าเสียดาย ถึงแม้ว่าการเลือกทางนี้จะมีโอกาสเกิดขึ้นไม่มากนักก็ตาม แต่จนถึงตอนนี้มันมีความเป็นไปได้ไม่น้อยทีเดียว กับการระบาดที่กำลังอยู่ในช่วงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในประเทศอังกฤษ ซึ่งหากว่าเหล่าทีมสมาชิกของทางเอฟเอ หรือว่าทางพรีเมียร์ลีกที่จะมีการโหวตกันในช่วงหลังจากนี้ว่าจะเอาอย่างไรดีกับฤดูกาลที่เหลือ ซึ่งหากว่าพวกเขาตัดสินกันมาเป็นแบบนี้ลิเวอร์พูลจะเป็นทีมที่เสียผลประโยชน์มากที่สุด

การที่จะตัดสินออกมาเป็นโมฆะนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ค่อนข้างยาก เพราะว่าการแข่งขันฟุตบอลลีกในยุโรปนั้นมีระบบเลื่อนชั้น ตกชั้น ไม่เหมือนกับพวกกีฬาอเมริกันเกมส์ที่จะมีทีมเดิมๆ ในทุกๆ ฤดูกาล ทำให้กีฬาเหล่านี้สามารถยกเลิกกลางคันได้ทันที หากว่ามีเหตุฉุกเฉินเช่นนี้ แต่ไม่ใช่สำหรับศึกฟุตบอลของประเทศต่างๆ นอกอเมริกา เพราะการที่จะยกเลิก หรือทำให้เป็นโมฆะทั้งๆ ที่ผ่านฤดูกาลมากว่า 3 ส่วน 4 ของฤดูกาลแล้วนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ยากมากสำหรับทีมที่จะเสียโอกาสในการเลื่อนชั้น หรือทีมที่ยังมีโอกาสไปเล่นในศึกฟุตบอลยุโรปในฤดูกาลหน้า ซึ่งคงจะต้องมีการถกเถียงประเด็นนี้กันอย่างหนักแน่นอนในระหว่างการประชุมทีมของทุกลีก

ซึ่งล่าสุดทางสมาพันธ์ฟุตบอลยุโรป หรือว่ายูฟ่า ได้เปิดทางเรียบร้อยแล้ว โดยการตัดสินใจเลื่อนศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปที่จากเดิมจะเตะกันในกลางปีนี้ โยกไปเตะกันในช่วงกลางปีหน้าแทน เพื่อที่จะเปิดทางให้ลีกจากชาติสมาชิกต่างๆ ทั่วยุโรปกลับมาแข่งขันในช่วงที่เหลือของฤดูกาลนี้ให้จบ หากว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 ไม่ลามปามไปมากกว่านี้จนควบคุมไม่ได้เสียก่อน ซึ่งจะทำให้ลีกต่างๆ ที่ส่วนใหญ่เหลือโปรแกรมการแข่งขันอีกประมาณ 10 นัด สามารถกลับมาเตะกันต่อให้จบฤดูกาลนี้ได้ โดยอาจจะเลื่อนการปิดฤดูกาลไปได้จนถึงกลางเดือนกรกฏาคมเลยทีเดียว ซึ่งหากว่าเป็นเช่นนี้แฟนบอลลิเวอร์พูลที่กำลังรอคอยแชมป์ลีกในรอบ 30 ปีก็ไม่ต้องกังวลแต่อย่างใด และแชมป์ครั้งนี้ก็จะไม่มีมลทินจากการตัดจบก่อนฤดูกาลอีกด้วย ซึ่งจะถือว่าสมศักดิ์ศรีด้วยประการทั้งปวง ซึ่งเป็นสิ่งที่ลิเวอร์พูลควรได้รับเป็นอย่างยิ่ง กับผลงานที่พวกเขาทำได้ในฤดูกาลนี้ อยู่ที่ว่าพวกเขาจะสามารถทำลายสถิติ 100 คะแนนของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ลงได้หรือไม่เท่านั้น