ปีแรกของแลมพาร์ด

ปีแรกของแลมพาร์ด

แฟรงค์ แลมพาร์ด อดีตกองกลางระดับตำนานของสโมสรเชลซี คือกุนซือผู้โชคดีกับการที่ทีม “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี ถูกสมาพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือว่าทางฟีฟ่า สั่งแบนห้ามลงทะเบียนนักเตะใหม่เป็นเวลา 1 ปี หรือว่า 2 ตลาดการซื้อขายนักเตะนั่นเอง จากการที่สโมสรไปทำผิดกฏในการดึงผู้เล่นดาวรุ่งมาจากสโมสรอื่นแบบผิดหลักที่ทางฟีฟ่าตั้งไว้ โดยว่ากันว่าพวกเขาทำผิดกฏข้อนี้กับผู้เล่นเกือบ 50 คนเลยทีเดียว กับนักเตะดาวรุ่งที่เชลซีคว้าตัวมาร่วมทีม ทำให้พวกเขาไม่สามารถซื้อนักเตะใหม่เข้ามาเสริมทีมได้เป็นเวลา 1 ฤดูกาลเต็มๆ ทำให้เมาริซิโอ ซาร์รี่ กุนซือชาวอิตาเลี่ยนที่คุมทีมเชลซีคว้าแชมป์ยูโรป้า ลีกเมื่อฤดูกาลแล้วได้สำเร็จ ก็ทำการชิ่งหนีเชลซีทันที หลังจากที่ได้ข้อเสนอจากยูเวนตุสที่จะดึงเขาเข้าไปคุมทีม เนื่องจากพวกเขาไม่ทำการต่อสัญญากับมัสซิมิเลียโน่ อัลเลกรี กุนซือผู้พายูเวนตุสคว้าแชมป์สคูเด็ตโต้ 5 สมัยติดต่อกัน ทำให้ตำแหน่งผู้จัดการทีมเชลซีในตอนนั้นว่างลงทันที ซึ่งการที่พวกเขาถูกแบนห้ามซื้อนักเตะใหม่เข้ามาเสริมทีม ทำให้เป็นเรื่องยากที่บอร์ดบริหารของเชลซีจะไปหากุนซือโปรไฟล์เลิศเข้ามาคุมทีมได้ในตอนนั้น เพราะการซื้อนักเตะใหม่ไม่ได้นั้นเหมือนกับเป็นการมัดมือชกให้ผู้จัดการทีมคนใหม่นั้นต้องใช้นักเตะที่พวกเขามีอยู่ก่อนแล้วเท่านั้น ซึ่งกุนซือชื่อดังจะเรื่องมากอย่างแน่นอน เพราะพวกเขามักจะต้องเรียกร้องงบประมาณในการเสริมทัพอยู่แล้ว เพื่อที่จะทำผลงานได้ตามเป้าหมายที่สโมสรตั้งไว้ แต่พอเชลซีถูกแบนนั้นทำให้พวกเขาเหลือตัวเลือกน้อยลงไปมาก และสุดท้ายก็ต้องไปดึง แฟรงค์ แลมพาร์ด อดีตดาวเตะระดับตำนานของสโมสรเข้ามาคุมทีมแทน ซึ่งเมื่อฤดูกาลที่แล้วแลมพาร์ดพึ่งได้เริ่มงานเป็นผู้จัดการทีมเป็นฤดูกาลแรกเท่านั้นกับทีมดาร์บี้ เคาน์ตี้ในศึกแชมเปี้ยนชิป ซึ่งเขาพาทีม “แกะเขาเหล็ก” ทำผลงานได้ไม่เลวทีเดียว ด้วยการพาทีมจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 6 ของตาราง ทำให้ได้สิทธิ์ไปเล่นในรอบเพลย์ออฟลุ้นเลื่อนชั้นในตอนจบฤดูกาล ซึ่งเขาสามารถพาทีมเอาชนะลีดส์ ยูไนเต็ดได้ในรอบรองชนะเลิศด้วย แต่ว่าสุดท้ายดันไปแพ้ให้กับแอสตัน วิลล่าในนัดชิงชนะเลิศเสียก่อน ทำให้แลมพาร์ดต้องผิดหวังกับการพาทีมเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีก และเตรียมรับชะตาที่จะต้องพาทีมทำศึกแชมเปี้ยนชิปไปอีก 1 ฤดูกาล แต่สุดท้ายแล้วก็เป็นเชลซีที่ติดต่อเข้ามาให้เขาเข้าไปคุมทีมในถิ่นสแตนฟอร์ด บริดจ์พอดี ทำให้สุดท้ายเพียงปีที่ 2 ของแฟรงค์ แลมพาร์ด เท่านั้นในฐานะผู้จัดการทีม เขาก็สามารถมีโอกาสคุมทีมในพรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ หนำซ้ำยังเป็นทีมเชลซี ซึ่งเป็นระดับทีมในกลุ่มท็อป 6 ของพรีเมียร์ลีกอีกด้วย ซึ่งถือว่าเป็นการก้าวกระโดดในหน้าที่การงานของเขาเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะบารมีสมัยเป็นนักเตะของเขาด้วยที่ทำให้มีโอกาสในการคุมทีมเชลซีในฤดูกาลนี้

ด้วยการที่ไม่สามารถซื้อนักเตะใหม่เข้ามาเสริมทีมได้ ทำให้แฟรงค์ แลมพาร์ดต้องเจอกับความยากลำบากตั้งแต่ก่อนเริ่มฤดูกาลทันที และทำให้เขาไม่มีทางเลือกมากนัก จึงต้องทำการดึงนักเตะที่ถูกปล่อยให้กับทีมอื่นยืมตัวเมื่อฤดูกาลที่แล้วกลับมาสู่ทีมทั้งหมด เพื่อที่กุนซือวัย 42 จะมาประเมินอีกครั้งหนึ่งว่าใครเหมาะสมกับระบบการเล่นที่เขาวางไว้ และสุดท้ายก็เป็นดาวิด ลุยซ์ ปรากรหลังชาวบราซิเลี่ยนที่ถูกขายออกจากทีมไป หลังจากที่แลมพาร์ดแจ้งว่าเขาอาจจะไม่ได้เป็นตัวจริงในฤดูกาลนี้ ทำให้เขาตัดสินใจย้ายไปร่วมทีมอาร์เซน่อลในช่วงก่อนเปิดฤดูกาล ส่วนนักเตะคนอื่นๆ ก็ได้อยู่ในทีมเกือบทั้งหมด ซึ่งเชลซีเริ่มต้นฤดูกาลพรีเมียร์ลีกด้วยการบุกไปเยือนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด ก่อนที่จะแพ้กลับออกมาอย่างย่อยยับ 0-4 ทั้งๆ ที่ครึ่งแรกพวกเขาทำผลงานได้ดีกว่าเจ้าถิ่นด้วยซ้ำ แต่มาเสียจุดโทษและโดนนำไปแล้ว เกมดันไปเข้าทางทีม “ปีศาจแดง” ที่ตั้งรับและสวนกลับได้อย่างเฉียบคม ทำให้เชลซีแพ้อย่างราบคาบในเกมนั้น และต่อมาพวกเขาก็ต้องผิดหวังอีกครั้งด้วยการพ่ายให้กับลิเวอร์พูลในศึกยูฟ่า ซุเปอร์ คัพในการดวลจุดโทษ ทำให้แลมพาร์ดเริ่มถูกเสียงวิจารณ์ไม่น้อยเลยในตอนนั้นว่าเขาเหมาะสมหรือยังกับตำแหน่งผู้จัดการทีมเชลซีในฤดูกาลนี้

แฟรงค์ แลมพาร์ด
แฟรงค์ แลมพาร์ด

แต่หลังจากนั้นมาเชลซีก็เริ่มตั้งตัวได้ และทำผลงานได้ดีขึ้น แต่ว่ามาถึงจุดหนึ่งแล้วแฟรงค์ แลมพาร์ดไม่สามารถทำให้เชลซีทำผลงานได้อย่างสม่ำเสมอเหมือนยักษ์ใหญ่ทีมอื่นๆ ในลีก และเต็มที่พวกเขาก็ได้เพียงแค่รั้งอันดับที่ 4 ของตารางพรีเมียร์ลีกไว้ได้เท่านั้น และกว่าจะผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายของศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกได้สำเร็จก็ต้องรอมาจนถึงนัดสุดท้ายเลยทีเดียว แต่ฟุตบอลถ้วยรายการนี้ไม่ใช่เป้าหมายของเชลซีในฤดูกาลนี้แต่อย่างใด เป้าเหมายเดียวของทีม “สิงโตน้ำเงินคราม” ในฤดูกาลนี้ก็คือการทำอันดับไปเล่นในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกในฤดูกาลหน้าให้ได้เท่านั้น และเชื่อกันว่าหากแฟรงค์ แลมพาร์ดทำเป้าหมายนี้ได้สำเร็จ เขาจะได้คุมทีมในถิ่นสแตนฟอร์ด บริดจ์ในฤดูกาลหน้าต่อไป แต่หากว่าไม่ได้ก็ค่อยมาลงรายละเอียดกันอีกที

ทัพ “สิงห์บลู” มีช่วงเวลาการทำผลงานที่ยอดเยี่ยมในพรีเมียร์ลีกคือช่วงปลายเดือนกันยายนมาจนถึงช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่พวกเขาสามารถเก็บชัยชนะได้ถึง 6 นัดติดต่อกันในพรีเมียร์ลีก แต่หลังจากเบรกให้กับทีมชาติกลับมาแล้วนั้นพวกเขากลับฟอร์มหลุดแพ้อย่างต่อเนื่องในช่วงนั้น โดยมาแพ้ 5 จาก 7 นัดในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนมาจนถึงปลายเดือนธันวาคม ทำให้จากที่รั้งอันดับ 4 ของลีกได้อย่างสบาย แต่กลับต้องมาเหนื่อยลำบากในช่วงท้ายฤดูกาลแทน ซึ่งอาจจะเป็นเพราะการที่แฟรงค์ แลมพาร์ดยังคงเป็นกุนซือมือใหม่ ทำให้เขายังหาหนทางพาทีมกลับสู่เส้นทางได้ช้ากว่ากุนซือรายอื่น ทำให้เชลซีเสียคะแนนไปมากทีเดียวในช่วงนั้น

ผลงานปีแรกในการคุมทีมในพรีเมียร์ลีกของแฟรงค์ แลมพาร์ดนั้นถือว่าไม่เลวทีเดียว เพราะอย่าลืมว่าเขาคุมทีมโดยมีเงื่อนไขในการซื้อนักเตะใหม่มาเป็นข้อจำกัดของเขาด้วย ถึงแม้ว่าเดือนมกราคมเชลซีจะอุทธรณ์โทษแบนผ่าน และสามารถซื้อนักเตะได้ในตอนนั้นก็ตาม แต่พวกเขากลับมองว่าการใช้เงินในช่วงนั้นไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่ ทำให้พวกเขาเตรียมงบก้อนโตไว้หลังจบฤดูกาลนี้แทน ซึ่งถึงแม้ว่าผลงานของเชลซีจะมีช่วงที่สวิงไปบ้าง แต่หากมองเรื่องของเหตุ และผลนั้นก็ถือว่ารับได้ไม่ยาก กับการที่แฟรงค์ แลมพาร์ดจะทำทีมเชลซีสะดุด และเสียแต้มให้กับบรรดาทีมเล็กไปบ้าง แต่เพราะแนวรับของพวกเขาที่ยังไม่ลงตัว และยังไม่ได้รับการปรับแก้ต่างหาก เนื่องด้วยการติดโทษแบนห้ามซื้อนักเตะนั่นเอง ทำให้เขาไม่สามารถปรับแก้แนวรับที่รู้แต่แรกว่าน่าจะมีปัญหาในฤดูกาลนี้ได้ ซึ่งขุมกำลังของเชลซีในฤดูกาลนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะอยู่ในแผนการทำทีมของแฟรงค์ แลมพาร์ดกี่คน หากว่าเขายังได้งานคุมทีมนี้ต่อไปในฤดูกาลหน้า ซึ่งน่าสนใจมากกว่าในยามที่เขามีงบประมาณในการซื้อนักเตะ ว่าเขาจะมีทิศทางการซื้อขายอย่างไร และขุมกำลังที่เขาต้องการในฤดูกาลหน้าจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ซึ่งหวังว่าเขาจะทำทีม “สิงโตน้ำเงินคราม” ทำอันดับไปเล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกตามที่ต้องการได้สำเร็จ แล้วฤดูกาลหน้ามาคอยดูกันว่าทีมของเขาจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร