มูรินโญ่ที่ไม่ใช่คนเดิม!

มูรินโญ่ที่ไม่ใช่คนเดิม!

โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือชาวโปรตุกีสถือว่าเคยเป็นยอดกุนซือคนหนึ่งของวงการฟุตบอลโลก โดยเฉพาะในช่วงยุคที่เขาขึ้นมาใหม่ๆ กับผลงานการพาเอฟซี ปอร์โต้คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกได้สำเร็จเมื่อปี 2004 ต่อด้วยการย้ายมาคุมทีมเชลซีในช่วงที่มีโรมัน อบราโมวิช เจ้าของทีมชาวรัสเซียเป็นเจ้าของ และทำให้ทีม “สิงโตน้ำเงินคราม” คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ตั้งแต่ปีแรกที่เขาเข้ามาคุมทีมในถิ่นสแตนฟอร์ด บริดจ์ หลังจากนั้นเขาก็ย้ายไปประสบความสำเร็จกับอินเตอร์ มิลานต่อ โดยสามารถพาทีม “งูใหญ่”  คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกมาครองได้สำเร็จอีกด้วยในปี 2010 และหลังจากนั้นเขาก็ย้ายไปคุมทีมเรอัล มาดริดในประเทศสเปน ซึ่งก็คว้าแชมป์ลา ลีก้ามาครองได้สำเร็จ ก่อนที่จะย้ายกลับมาคุมทีมเชลซีอีกครั้ง ซึ่งถึงแม้ว่าจะจบกันไม่สวยเพราะฤดูกาลที่ 2 นั้นเขาทำเชลซีล้มเหลวเป็นอย่างยิ่ง ก่อนที่จะถูกปลดจากตำแหน่งในช่วงกลางฤดูกาล ถึงแม้ว่าปีแรกที่กลับมาเขาจะทำให้เชลซีคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้อีกครั้งก็ตาม ก่อนที่ในปี 2016 มูรินโญ่จะโยกมาคุมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดต่อจากหลุยส์ ฟาน กัล กุนซือชาวดัตช์ที่ทำทีมได้เพียงแชมป์เอฟเอ คัพเท่านั้น

ในช่วงที่เขาคุมทีม “ปีศาจแดง” 2 ปีแรกนั้น โชเซ่ มูรินโญ่ ยังสามารถทำทีมเดินหน้าไปได้อย่างราบรื่น ถึงแม้ว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจะยังไม่สามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกตามที่หวังไว้ก็ตาม แต่พวกเขาก็มีผลงานที่ดีขึ้นเรื่อยๆ และมีแนวโน้มที่ดีอย่างชัดเจนกว่าช่วงที่ผ่านมา เพราะปีแรกของมูรินโญ่ในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ดนั้นเขาสามารถพาทีมคว้าแชมป์ลีก คัพ และยูโรป้า ลีกมาครองได้สำเร็จ ส่วนปีต่อมาที่ถึงแม้ว่าจะมือเปล่า แต่ก็ยังทำให้ทีมกลายเป็นรองแชมป์พรีเมียร์ลีก แม้ว่าจะเป็นรองแชมป์ที่มีความห่างของคะแนนกับแชมป์อย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้มากที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกถึง 19 คะแนนก็ตาม แต่มูรินโญ่ก็กล่าวถึงเรื่องนี้บ่อยครั้งว่าฤดูกาลนั้นคือผลงานที่สุดยอดที่สุดของเขาครั้งหนึ่งเลยทีเดียว ที่สามารถขุนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไปจบอันดับที่ 2 ของพรีเมียร์ลีกได้ ซึ่งอันที่จริงจากสถิติที่เขาเคยคุมทีมมา โชเซ่ มูรินโญ่ มักจะมีผลงานคุมทีมได้ดีที่สุดแค่เพียง 2 ฤดูกดาลแรกเท่านั้น ไม่ว่าเขาจะไปคุมทีมไหนก็ตาม และสามารถคว้าแชมป์ลีกมาให้กับทีมนั้นๆ ได้ทุกที แล้วค่อยมาทำพังในฤดูกาลที่ 3 แต่กลับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดนั้นเขาไม่สามารถรักษาสถิติที่พาทีมคว้าแชมป์ลีกไว้ได้ แถมยังมาทำทีมพังในฤดูกาลที่ 3 ตามสถิติที่ผ่านมาของเขาอีกด้วย โดยเริ่มตั้งแต่ช่วงพรีซีซั่นที่เขาเหมือนจะมีปัญหากับการทำงานของบอร์ดบริหารที่ไม่ยอมซื้อนักเตะตามที่เขาต้องการ ทำให้เขาต้องมาให้สัมภาษณ์ผ่านสื่ออยู่บ่อยครั้ง รวมถึงปัญหากับนักเตะอย่างอ็องโตนี่ มาร์กซิยาล และปอล ป็อกบา ส่งผลให้ผลงานของทีมก็เริ่มตกลงเรื่อยๆ และฟางเส้นสุดท้ายก็คือการพาทีมบุกไปแพ้ให้กับลิเวอร์พูลที่แอนฟิลด์ 1-3 ซึ่งถึงแม้ว่าสกอร์อาจจะดูไม่น่าเกลียดมากนัก แต่รูปเกมในวันนั้นถือว่าสาวก “เรด อาร์มี่” ถึงกับรับไม่ได้เลยทีเดียว เมื่อพวกเขาต้องคอยเป็นฝ่ายตั้งรับให้ทีม “หงส์แดง” บุกกระหน่ำเข้าใส่อยู่ฝ่ายเดียว จนสุดท้ายก็ต้องถูกไล่ออกจากตำแหน่งไปในช่วงกลางเดือนธันวาคมปี 2018 และเป็นโอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ที่เข้ามาทำหน้าที่แทนจนถึงปัจจุบันนี้

โชเซ่ มูรินโญ่
โชเซ่ มูรินโญ่

หลังจากที่เขาถูกปลดจากตำแหน่งกุนซือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดแล้ว มีการวิเคราะห์กันหลายทาง และเริ่มตั้งคำถามกันว่า โชเซ่ มูรินโญ่ นั้นเป็นกุนซือที่ตกยุคไปแล้วหรือยัง เพราะผลงานในช่วงหลังของเขานั้นถือว่าไม่ได้โดดเด่นเหมือนเมื่อสมัยประมาณ 10 ปีก่อนแล้ว และด้วยความล้มเหลวกับทีม “ปีศาจแดง” ในครั้งล่าสุดที่ถือว่าค่อนข้างเข้าตาทีเดียว ทำให้โอกาสที่เขาจะได้คุมทีมยักษ์ใหญ่นั้นก็เริ่มน้อยลงไปทุกที แต่ว่าสุดท้ายแล้วเขาก็ได้รับโอกาสอีกครั้งจากดาเนี่ยล เลวี่ ผู้บริหารของท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ที่ตัดสินใจปลดเมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ออกจากตำแหน่ง และแต่งตั้ง โชเซ่ มูรินโญ่ เข้ามาคุมทีมแทนเมื่อช่วงเบรคปล่อยคิวให้กับทีมชาติในช่วงเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว หลังจากที่กุนซือชาวอาร์เจนไตน์ทำทีม “ไก่เดือยทอง” ได้อย่างน่าผิดหวังในช่วงต้นฤดูกาล ถึงแม้ว่าโปเช็ตติโน่จะเป็นกุนซือที่ทำให้ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์กลายเป็นทีมในกลุ่มท็อป 6 อย่างเต็มตัวก็ตาม แต่เขาก็ไม่สามารถบันดาลแชมป์ หรือถ้วยรางวัลเข้าสู่สโมสรได้เลย แม้ว่าฤดูกาลที่แล้วจะได้เข้าชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกก็ตาม แต่ก็ดันไปพ่ายให้กับลิเวอร์พูล 0-2 อีก ซึ่งการที่สเปอร์ชั่งใจเลือก โชเซ่ มูรินโญ่ มาคุมทีมในครั้งนี้นั้น ส่วนหนึ่งก็เพราะพวกเขาเชื่อว่ามูรินโญ่จะสามารถบันดาลแชมป์เข้าสู่สโมสรได้สำเร็จนั่นเอง ซึ่งช่วงแรกที่เขาเข้ามาคุมทีมท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ กุนซือฉายาเดอะ สเปเชี่ยล วันคนนี้ก็พาทีมเก็บชัยชนะได้อย่างต่อเนื่องทันที รวมถึงพาทีมผ่านเข้ารอบน็อคเอ้าต์ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกได้สำเร็จอีกด้วย ซึ่งดูเหมือนจะไปได้สวยทีเดียวในตอนนั้น

แต่แล้วหลังจากช่วงปีใหม่มา ปัญหาก็เริ่มถาโถมเข้าใส่กุนซือชาวโปรตุกีสทันที เมื่อบรรดานักเตะตัวหลักต่างพากันทยอยบาดเจ็บกันไปหลายราย ทั้งมุสซ่า ซิสโซโก้ และที่สำคัญคือแฮร์รี่ เคน กองหน้ากัปตันทีมที่ถือว่าเป็นหัวใจในแนวรุกของทีมที่บาดเจ็บกล้ามเนื้อหลังหัวเข่าจนทำให้ต้องพักไปจนจบฤดูกาล หนำซ้ำพอเล่นไปเล่นมาซน ฮึงมิน ดาวเตะทีมชาติเกาหลีใต้ที่พอจะยืนเป็นกองหน้าตัวเป้าแทนแฮร์รี่ เคนได้ก็ดันมามีอาการบาดเจ็บข้อมือหักไปอีกครั้ง ทำให้แนวรุกของทีมนั้นอ่อนยวบลงไปทันที เมื่อไม่มีกองหน้าตัวเป้า ทำให้มูรินโญ่ต้องหันมาใช้ระบบ False 9 หรือว่ากองหน้าตัวหลอกแทน ซึ่งก็ไม่ใช่รูปแบบที่ โชเซ่ มูรินโญ่ ถนัดแต่อย่างใด ทำให้ผลงานของท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์นั้นตกลงเรื่อยๆ และตกรอบฟุตบอลถ้วยไปถึง 2 รายการ ทั้งศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกที่แพ้ให้กับไลป์ซิก ทีมมาแรงจากเยอรมันอย่างหมดรูป รวมถึงฟุตบอลเอฟเอ คัพก็มาแพ้จุดโทษคาบ้านให้กับนอริช ซิตี้อีก ทำให้ความหวังเดียวของทีม “ไก่เดือยทอง” ที่เหลือในฤดูกาลนี้ก็คือการทำอันดับไปเล่นในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกฤดูกาลหน้าให้ได้เท่านั้น ซึ่งจากสถานการณ์ในตอนนี้พวกเขาเป็นรองที่สุดในบรรดาทีมที่ได้ลุ้นอันดับ 4 เลยก็ว่าได้ เพราะพวกเขาหล่นมาอยู่อันดับที่ 8 ของตารางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยตามหลังเชลซีอยู่ถึง 7 คะแนน สิ่งที่ทำให้สเปอร์อาจจะยังได้ลุ้นอยู่ในฤดูกาลนี้ก็คือหากว่าแมนเชสเตอร์ ซิตี้ถูกสมาพันธ์ฟุตบอลยุโรปแบนห้ามลงเตะในศึกฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกเป็นเวลา 2 ฤดูกาลตามเดิม จะทำให้โควตาไปเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีกในฤดูกาลหน้านั้นหล่นลงมาถึงอันดับที่ 5 ซึ่งพวกเขามีคะแนนตามหลังแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่อยู่อันดับ 5 ตอนนี้เพียง 4 คะแนนเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นช่องว่างที่พวกเขาพอที่จะไล่ทันได้ แต่ปัญหานั้นอยู่ตรงที่ฟอร์มการเล่น และแนวโน้มในตอนนี้ ที่ดูเหมือนว่าทีม “ปีศาจแดง” กำลังอยู่ในช่วงดีวันดีคืน ส่วนท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์นั้นมีแต่สาละวันเตี้ยลงเรื่อยๆ เมื่อบรรดานักเตะตัวหลักของพวกเขายังไม่สามารถหายกลับมาช่วยทีมได้เสียที แม้ว่าจะมีช่วงเบรกหนีไวรัสโควิด 19 ไปแล้วก็ตาม แต่แฮร์รี่ เคนก็จะยังกลับมาช่วยทีมไม่ได้ หากพรีเมียร์ลีกกลับมาเตะกันในช่วงต้นเดือนเมษายนตามที่วางแผนกันไว้